เชื้อไวรัส HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษาอาจพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นระยะรุนแรงของการติดเชื้อ การรู้เท่าทันและตรวจพบไวตั้งแต่ระยะแรกเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการรักษาในช่วงเริ่มต้นสามารถควบคุมเชื้อได้ดี ช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนคนทั่วไป

เริ่มต้นประเมินความเสี่ยงต่อการรับเชื้อของตัวเอง
หากคุณสงสัยว่าตัวเองอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ควรเริ่มจากการประเมินพฤติกรรมในช่วงที่ผ่านมา เช่น
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- มีแผลเปิดและสัมผัสเลือดหรือน้ำคัดหลั่งของผู้ที่มีความเสี่ยง
- ได้รับการสัก เจาะ หรือทำฟันโดยอุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
เมื่อมีความเสี่ยงใดๆ เหล่านี้ ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อโดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งตรวจเร็ว โอกาสในการควบคุมเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายก็ยิ่งสูง
วิธีป้องกันการติดเชื้อในชีวิตประจำวัน
แม้ว่า HIV จะไม่ติดต่อกันง่าย แต่การป้องกันที่ถูกวิธีย่อมดีที่สุด วิธีพื้นฐานที่ควรปฏิบัติ ได้แก่
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์มีคมร่วมกับผู้อื่น
- เลือกรับบริการสัก เจาะ หรือทำฟันจากสถานที่ที่มีมาตรฐาน
- ตรวจสุขภาพและตรวจเชื้อ HIV เป็นประจำ โดยเฉพาะหากมีพฤติกรรมเสี่ยง
วิธีการป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP)
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือคู่ของผู้ติดเชื้อ HIV สามารถใช้วิธีการป้องกันด้วยยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสที่รับประทานก่อนสัมผัสเชื้อ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่า 90%
- ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนเริ่มใช้
- ต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและตรวจติดตามสุขภาพเป็นระยะ
วิธีการป้องกันหลังสัมผัสความเสี่ยง (PEP)
หากเพิ่งเกิดเหตุการณ์ที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้สวมถุงยาง หรือสัมผัสเลือดของผู้ติดเชื้อโดยตรง ควรรีบไปพบแพทย์ภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อรับยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสที่ใช้หลังจากสัมผัสเชื้อ
- ต้องรับประทานยาต่อเนื่องประมาณ 28 วัน
- ยิ่งเริ่มใช้เร็ว ยิ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันสูง
- ระหว่างใช้ยาควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

เข้ารับการตรวจเชื้อ HIV อย่างถูกต้อง
การตรวจหาเชื้อ HIV เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด เพราะจะช่วยให้รู้สถานะสุขภาพของตนเองและเริ่มการดูแลได้อย่างเหมาะสม การตรวจสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
- ตรวจจากเลือดในสถานพยาบาล (มาตรฐานสูงสุด)
- ตรวจด้วย ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและเป็นส่วนตัว สามารถทำได้ที่บ้าน

ปัจจุบันมีชุดตรวจที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ผลตรวจเบื้องต้นได้ภายในไม่กี่นาที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการตรวจด้วยตนเองก่อนเข้ารับการตรวจยืนยันจากแพทย์
หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการตรวจที่ถูกต้องและเลือกซื้ออุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน สามารถดูข้อมูลได้ที่ วิธีการใช้ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง
สิ่งที่ควรทำหากผลตรวจเลือดเป็นบวก (พบเชื้อ)
หากผลตรวจเบื้องต้นออกมาว่ามีเชื้อ HIV ไม่ควรตื่นตระหนก เพราะการติดเชื้อในปัจจุบันสามารถรักษาและควบคุมได้ดีมากด้วยยาต้านไวรัส (ARV)
- ควรตรวจยืนยันซ้ำที่โรงพยาบาล
- ปรึกษาแพทย์เพื่อเริ่มต้นการรักษาทันที
- รักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อลดปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับต่ำ (Undetectable)
- เมื่อควบคุมได้แล้ว จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อต่อไปยังผู้อื่นได้ (หลักการ U=U: Undetectable = Untransmittable)

ที่สำคัญใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ และไม่ตัดสินผู้ติดเชื้อ HIV
ปัจจุบันผู้ติดเชื้อ HIV ที่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องสามารถมีชีวิตที่ปกติได้เหมือนคนทั่วไป ทั้งนี้ยังควรทำความเข้าใจกันก่อนว่า HIV ไม่ใช่ AIDS เพราะการติดเชื้อ HIV เป็นเพียงระยะของการมีไวรัสในร่างกาย แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนเกิดโรคเอดส์ (AIDS) ได้ หากได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องและติดตามการรักษากับแพทย์ ผู้ติดเชื้อสามารถควบคุมระดับไวรัสให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบและไม่แพร่เชื้อต่อไปยังผู้อื่นได้ การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง การป้องกันที่เหมาะสม และการไม่เลือกปฏิบัติคือสิ่งสำคัญในการลดการแพร่ระบาดและสร้างสังคมที่เข้าใจมากขึ้น
การป้องกันและตรวจหาเชื้อ HIV ตั้งแต่เนิ่นๆ คือกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงยางอนามัย การรับยาป้องกันก่อนหรือหลังสัมผัสเชื้อ หรือการตรวจด้วย ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง ล้วนเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรู้สถานะของตัวเองไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือจุดเริ่มต้นของการป้องกันและดูแลสุขภาพที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน ที่สำคัญควรตรวจทุกๆ 3 เดือนเพราะยิ่งรู้เร็วเข้ารับการรักษาได้เร็ว ก็จช่วยให้ร่างกายของคุณยังคงแข็งแรงอยู่ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
